บริษัทไนกี้ บริษัทลูลูเลม่อน แอตเลธิก้า และบริษัท อันเดอร์ อาเมอร์ ได้กล่าวในวันอาทิตย์ว่า จะปิดร้านค้าในสหรัฐอเมริกาและตลาดอื่นๆ เช่นเดียวกับ ร้านค้าปลีกรายใหญ่หลายราย เพื่อควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า ไวรัสนี้ที่เริ่มต้นที่ประเทศจีนเมื่อสิ้นปีที่เเล้ว ได้ส่งผลให้เกิดการหยุดเรียน ยกเลิกการแข่งขันกีฬาในสหรัฐอเมริกาและที่อื่นๆ ไวรัสนี้มีแนวโน้มที่จะส่งผลต่อการขายของร้านค้าปลีก เนื่องด้วยผู้บริโภคนั้นอยู่ในบ้านเพื่อหลีกเลี่ยงการเสี่ยงติดโรค โควิด-19 ที่มาจากไวรัสโคโรน่า

ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคติดต่อของสหรัฐอเมริกา ดร.แอนโธนี่ ฟาวซี ได้กล่าวว่า สถานการณ์มีแนวโน้มที่จะแย่ลงมากกว่าดีขึ้น

ในวันอาทิตย์ ไนกี้ได้แถลงว่า จะทำการปิดร้านค้าที่ แคนาดา ยุโรปตะวันตก ออสเตรเลีย และนิวซีเเลนด์ ตั้งแต่ 16 มีนาคมถึง 27 มีนาคม ไนกี้ยังคงเปิดให้บริการปกติใน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น หลายพื้นที่ของจีน และอีกหลายๆประเทศ “พวกเรากำลังเพิ่มตัวเลือกให้มากขึ้นในการจัดการ รวมถึงการเปิดโอกาสให้ทำงานที่บ้าน” กล่าวโดยบริษัทเสื้อผ้ากีฬาสัญชาติอเมริกัน

อันเดอร์ อาเมอร์ กล่าวว่า จะทำการปิด ทุกสาขาในอเมริกาเหนือ ตั้งแต่วันจันทร์ เป็นเวลาสองอาทิตย์ ลูลูเลม่อน กล่าวว่าจะปิดสาขาในอเมริกาเหนือ และยุโรป ด้วยระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน “พวกเรากำลังอยู่ในช่วงที่ไม่มีอะไรแน่นอน และ พวกเราเรียนรู้เกี่ยวกับไวรัสนี้ทุกวัน” กล่าวโดย ลูลูเลม่อนในรายงาน ไนกี้และลูลูเลม่อน มีมากกว่า 650 สาขารวมกันในสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ อันเดอร์ อาเมอร์มีเกือบ 190 สาขาในสหรัฐอเมริกา

ตามรายงานประจำปีของบริษัท แต่ละบริษัทได้กล่าวว่า ร้านค้าออนไลน์ ยังคงเปิดทำการปกติ ร้านเสื้ออย่าง แลนด์ เอนด์ และ โคลัมเบีย สปอร์ตแวร์ ก็ได้กล่าวในวันอาทิตย์ว่าพวกเขาจะหยุดให้บริการชั่วคราวทุกสาขาใน สหรัฐอเมริกาและอเมริกาเหนือ แก๊ป นั้นลดระยะเวลาทำการของร้านลงทุกสาขาในสหรัฐอเมริกา และ แคนาดา และปิดไปกว่า 100 สาขา กล่าวโดยผู้บริหารระดับสูง ซอนเนีย ซินแกล ผ่านทางข้อความบนเวบไซต์

ร้านเสื้อผ้า เออร์เบิน เอาฟิทเตอร์ส ที่เป็นเจ้าของแบรนด์อย่าง แอนโทรโพโลจี และ ฟรี พีเพิ่ล กล่าวว่าจะปิดร้านค้าทุกสาขาทั่วโลกจนถึงวันที่ 28 มีนาคม สัปดาห์ที่แล้ว ร้านค้าอย่าง เมซี่ซ์ และ แซคซ์ ฟิฟท์ อเวนิว ได้แจ้งเตือนลูกค้าว่าจะเปิดให้บริการปกติ ก่อนหน้านี้ ไนกี้ได้ทำการปิดสำนักงานใหญ่ใน เนเธอร์แลนด์ หลังจากที่ลูกจ้างได้รับเชื้อโคโรน่าไวรัส

CR: Reuters